1. ในการจัดการศึกษาของไทยควรนำหลักสูตรประเภทใดมาใช้ด้วยเหตุผลใดเป็นสำคัญ
หลักสูตรบูรณาการ เพราะ
เป็นหลักสูตรที่นำสาระจากศาสตร์สาขาวิชาต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน
หรือไม่เกี่ยวข้องกันก็ได้
มาผสมผสานหลอมรวมกันเพื่อให้เกิดเป็นองค์รวมหรือเรื่องที่มีความสมบูรณ์ใน ตัวเอง
สาระที่นำมาบูรณาการมีหลายประเภท เช่น เนื้อหา มโนทัศน์ คุณธรรม กระบวนการ
กิจกรรมการเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น
ซึ่งต้องจัดกระบวนการเรียนการสอนแบบบูรณาการด้วย
หลักสูตรบูรณาการที่นิยมจัดทำมี ๔ ลักษณะ คือ
๑) บูรณาการภายในสาขาวิชา
(intradisciplinary integration) เป็นการผสมผสานเนื้อหาสาระต่าง
ๆ ที่อยู่ในสาขาวิชาเดียวกัน เช่น บูรณาการทักษะการพูด ฟัง อ่าน และเขียน
ในวิชาภาษาไทย
๒)
บูรณาการระหว่างสาขาวิชา (interdisciplinary integration) เป็นการผสมผสานเนื้อหาสาระระหว่าง
๒ สาขาวิชา โดยยึดสาขาใดสาขาหนึ่งเป็นแกนหลัก เช่น
บูรณาการระหว่างสาระทางวิทยาศาสตร์กับสาระทางสังคมศาสตร์
๓)
บูรณาการแบบพหุสาขาวิชา (multidisciplinary integration) เป็นการผสมผสานเนื้อหาสาระตั้งแต่
๒ สาขาวิชาขึ้นไป โดยยึดสาขาใดสาขาหนึ่งเป็นแกนหลัก และ
๔)
บูรณาการแบบข้ามสาขาวิชา (transdisciplinary integration) เป็นการผสมผสานเนื้อหาหลายสาขาวิชาเข้าด้วยกัน
และหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยไม่ยึดสาขาวิชาใดเป็นแกน.
2. สืบค้นจากหนังสือในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
เรื่อง ประเภทของหลักสูตร การออกแบบหลักสูตร
ประเภทของหลักสูตร มีทั้งหมด 7 ประเภท ได้แก่
1.
หลักสูตรเนื้อหาวิชา (Subject Matter Curriculum or Subject
Centered Curriculum) ประกอบไปด้วยเนื้อหาสาระสำคัญได้แก่
ความคิดรวบยอด ทักษะ กฎและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เน้นที่เนื้อหาความรู้ไม่ได้เน้นที่ผู้เรียนผู้สร้างหลักสูตรจึงได้สร้าง
หลักสูตรโดยคำนึงถึงความรู้และสาระสำคัญเป็นหลัก
2.
หลักสูตรหมวดวิชา (Fusion or Fused Curriculum) แยกออกเป็นรายวิชาย่อย ๆ เช่น วิชาภาษาไทยประกอบด้วยรายวิชาย่อย ๆ ได้แก่
คัดไทย เขียนไทย ย่อไทย เรียงความ เขียนจดหมาย อ่านเอาเรื่อง ไวยากรณ์ สายวิชาอื่น
ๆ ก็แยกออกเป็น ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม เลขคณิต เรขาคณิต
ฯลฯ การประเมินผลของการศึกษาหรือการเรียนรู้ของนักเรียนคือ
การวัดความสำเร็จด้วยคะแนนความจดจำของเนื้อหาในแต่ละวิชา
3.
หลักสูตรสัมพันธ์ (Correlation or Correlated Curriculum) เป็นหลักสูตรที่มีความสัมพันธ์กันในหมวดวิชานำเนื้อหาสาระวิชาอื่น ๆ
ที่สัมพันธ์กันมารวมเข้าไว้ด้วยกัน
การจัดให้มีการสัมพันธ์ระหว่างวิชาในระดับที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก
4.
หลักสูตรสหสัมพันธ์ (Broad Fields Curriculum) หลักสูตรที่พัฒนามาจากหลักสูตรเนื้อหา
วิชา(ซึ่งมีหลักสูตรหมวดวิชาหลักสูตรสัมพันธ์และหลักสูตรสหสัมพันธ์)หลัก
สูตรสหสัมพันธ์ยังคงใช้กันอยู่เพราะมีการผสมผสานของความรู้มากกว่านอกจากนี้
แล้วการจัดหมวดวิชาเป็นสหสัมพันธ์หรือหมวดวิชาแบบกว้างนี้ก็มักจะทำกันใน
โรงเรียนระดับประถมและระดับมัธยมต้นมากกว่าระดับมัธยมปลาย
5.
หลักสูตรแกนกลาง (Core Curriculum) มีลักษณะคล้ายกับ
หลักสูตรหมวดวิชา หลักสูตรสัมพันธ์และหลักสูตรสหสัมพันธ์
ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ผสมผสานเนื้อหาวิชาต่าง ๆ
ที่ใกล้เคียงเข้าอยู่เป็นหมวดหมู่เดียวกันแต่เน้นวิธีการแก้ปัญหา
6.
หลักสูตรประสบการณ์ (Experience Curriculum) หลักสูตรประสบการณ์เน้นให้ผู้เรียนมีบทบาท
และส่วนร่วมในการเลือกหากิจกรรมการเรียนที่มีประโยชน์และตรงกับจุดมุ่งหมาย
ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรและลักษณะการร่วมกิจกรรมนั้นต้องอยู่บนรากฐานของความ
ถนัดและความสนใจของนักเรียน
หลักสูตรประสบการณ์มีลักษณะตรงข้ามกับหลักสูตรเนื้อหาวิชาอย่างเห็นได้ชัด
เพราะหลักสูตรเนื้อหาวิชายึดเนื้อหาวิชาเป็นจุดศูนย์กลางแต่หลักสูตร
ประสบการณ์ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
7.
หลักสูตรบูรณาการ (Integration or Integrated Curriculum) หลักสูตรบูรณาการเป็นหลักสูตรที่รวมประสบการณ์เรียนรู้ต่าง ๆ
เข้าไว้ด้วยกันประสบการณ์ดังกล่าวเป็นประสบการณ์ที่คัดเลือกมาจากหลายสาขาวิชาแล้วจัดเป็นกลุ่มหรือหมวดหมู่ของประสบการณ์เป็นการ
บูรณาการเนื้อหาเข้าด้วยกันเพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์สัมพันธ์และต่อเนื่องมีคุณค่าต่อการดำรงชีวิต
การออกแบบหลักสูตร
(curriculum
design)
การจัดรายละเอียดองค์ประกอบของหลักสูตร
ซึ่งประกอบด้วย เป้าหมาย จุดหมาย เนื้อหาสาระ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
และการประเมินผล ดังนั้นหากจะเปรียบการพัฒนาหลักสูตร คือ การสร้างบ้าน
การออกแบบหลักสูตรก็คือการออกแบบให้ได้มาซึ่งพิมพ์เขียว หรือรูปแบบของบ้าน
ที่มีรายละเอียดของห้องต่าง ๆ เป็นการจัดส่วนประกอบต่าง ๆ
ของบ้านให้เหมาะสมกลมกลืน เหมาะกับการใช้งาน
ส่วนประกอบหลักสูตร 4
ส่วนหลัก
1.เป้าหมาย จุดหมาย และวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
2.เนื้อหาสาระ
3.กิจกรรมการเรียนการสอน
4.การประเมินผล
ออนสไตน์และฮันคินส์ และ เฮนเสน
กล่าวไว้สอดคล้องกันว่า
การออกแบบหลักสูตรที่ดีต้องมีหลักในการพิจารณา 6 ประการดังนี้
1. การกำหนดขอบข่ายหลักสูตร
หมายถึง การกำหนดเนื้อหา สาระการเรียนรู้ หัวข้อ ประเด็นสำคัญต่าง ๆ แนวคิด
ค่านิยม หรือคุณธรรมที่สำคัญ สำหรับผู้เรียนในรายวิชาต่าง ๆ
ของหลักสูตรแต่ละระดับชั้น
2. การจัดลำดับการเรียนรู้
หมายถึง การจัดลำดับก่อนหลังของเนื้อหา สาระการเรียนรู้ หัวข้อ
ประเด็นที่สำคัญต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียนได้เรียนรู้ไปตาม วัย วุฒิภาวะ
และพัฒนาการทางสติปัญญา
3. ความต่อเนื่อง หมายถึง การจัดเนื้อหา
ประสบการณ์ การเรียนรู้ ทักษะต่าง ๆ ให้มีความต่อเนื่องตลอดหลักสูตร
หลักสูตรที่ดีนอกจากมีการจัดขอบข่ายและลำดับการเรียนรู้ที่ดีแล้ว
ยังต้องมีความต่อเนื่องของเนื้อหาที่เหมาะสมอีกด้วย
4. ความสอดคล้องเชื่อมโยง การจัดหลักสูตรที่ดีควรคำนึงถึง
ความสอดคล้องเชื่อมโยง ให้มี ความต่อเนื่องกันของเนื้อหา ประสบการณ์การเรียนรู้
และทักษะที่อยู่ในระดับชั้นเดียวกัน เช่น การจัดหลักสูตรสังคมศึกษา ชั้น ม.1
ให้เนื้อหาภูมิศาสตร์ประเทศไทยมีความสัมพันธ์สอดคล้องเชื่อมโยงกับเนื้อหาประวัติศาสตร์ไทย
เป็นต้น
5. การบูรณาการ
เป็นการจัดขอบข่ายเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ในหลักสูตรให้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยง
จากหัวข้อหนึ่งไปยังอีกหัวข้อหนึ่งของรายวิชานั้น หรือ
จากรายวิชาหนึ่งไปยังอีกรายวิชาหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกัน
6. ความสมดุล
หลักสูตรที่ดีนอกจากจะต้องคำนึงถึงการจัดขอบข่ายเนื้อหา
และมีลำดับการเรียนรู้ ที่ดีแล้ว ยังควรต้องพิจารณาด้านความสมดุลของเนื้อหา
ประสบการณ์การเรียนรู้ และทักษะของรายวิชาต่าง ๆ ความสมดุลระหว่างเนื้อหาสาระกับวุฒิภาวะของผู้เรียน
ความสมดุลของหลักสูตร จึงเป็นสิ่งที่นักพัฒนาหลักสูตรต้องให้ความสนใจ
ประโยชน์ของการออกแบบหลักสูตร
การออกแบบหลักสูตรที่ดีจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการศึกษา ฮอลล์ (Hall.1962 อ้างถึงใน ปราณี สังขะตะวรรธน์และสิริวรรณ ศรีพหล. 2545: 97 – 98)
ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการออกแบบหลักสูตรไว้ ดังนี้
1.การออกแบบเป็นการเน้นที่เป้าหมาย
จุดหมาย และวัตถุประสงค์ของงานเป็นสำคัญ
การออกแบบหลักสูตรจึงเป็นการสร้างความมั่นใจว่าหลักสูตรที่สร้างขึ้น
สามารถนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ
หรือจุดหมายของการจัดการศึกษานั้นได้
2.การออกแบบหลักสูตรที่ดีช่วยเพิ่มโอกาสของความสำเร็จในการจัดการศึกษา
การออกแบบเป็นการจัดองค์ประกอบหลักสูตรทั้ง 4
ที่จะเป็นแนวทางให้กับผู้ใช้หลักสูตรได้ดำเนินการ
โดยเริ่มตั้งแต่การศึกษาวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย การให้สาระความรู้ที่จำเป็น
วิธีการนำเสนอสาระความรู้ หรือ แนวการดำเนินการเรียนการสอน
และการประเมินผลหรือการตัดสินว่าผู้เรียนได้บรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่เพียงใด
3.การออกแบบช่วยประหยัดเวลาและแรงงาน
การออกแบบเป็นการสร้างพิมพ์เขียว
เพื่อให้ผู้ใช้หลักสูตรได้เห็นประสบการณ์ที่จำเป็นที่ผู้เรียนต้องได้รับ การกำหนดรูปแบบต่าง
ๆ การกำหนดวิธีการนำหลักสูตรไปใช้ การกำหนดทิศทางรูปแบบการเรียนการสอน
ช่วยให้ผู้ใช้หลักสูตรมีความเข้าใจในกระบวนการต่าง ๆ
สามารถนำไปปฏิบัติและประยุกต์ใช้ได้
4.การออกแบบที่ดีช่วยในการสื่อสารและประสานงาน
นักออกแบบที่สามารถออกแบบหลักสูตร เอกสารการสอน และคู่มือต่าง ๆ
ช่วยเพิ่มความเข้าใจในการนำหลักสูตรไปใช้ โดยอาจจะไม่ต้องใช้เวลามาจัดอบรม
เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตร และการนำหลักสูตรไปใช้
5.การออกแบบช่วยลดภาวะความตึงเครียด
เนื่องจากการออกแบบหลักสูตรเป็น การวางแผนสำหรับการจัดการศึกษาที่มีเป้าหมาย
และวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
การออกแบบหลักสูตรเป็นการสร้างพิมพ์เขียวจากสิ่งที่เป็นนามธรรมไปสู่สิ่งที่เป็นรูปธรรม
เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างไม่ยุ่งยาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น